✅ ข้อดีของการชุบ Hot-Dip Galvanizing
1. ป้องกันการกัดกร่อน (Corrosion Protection) ได้ดีมาก
- เคลือบสังกะสีทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกัน (barrier protection) ไม่ให้เหล็กสัมผัสน้ำ/อากาศโดยตรง
- เมื่อเคลือบถูกขีดข่วนหรือเสียหาย สังกะสีสามารถทำหน้าที่เป็นสารเสียสละ (sacrificial protection / cathodic protection) ปกป้องเหล็กด้านในไว้ได้
- มีชั้นแป้งหรือสารเคมีที่เกิดขึ้นเองบนผิวสังกะสี (zinc patina) ที่ช่วยชะลอการกัดกร่อนต่อไปอีก
2. ทนทาน / อายุการใช้งานยาวนาน
- ในสภาพแวดล้อมที่มีการกัดกร่อนทั่วไป เคลือบ hot-dip สามารถใช้ได้ มากกว่า 50 ปี โดยไม่ต้องบำรุงรักษามาก
- มีอัตราการกัดกร่อนที่ช้ากว่าเหล็กเปล่าอย่างมาก (เช่น ~1/30 ของเหล็กเปล่าในบางสภาพอากาศ)
3. ครอบคลุมทุกจุด / เคลือบทั่วถึง
- เนื่องจากเป็นการจุ่มทั้งชิ้น (immersion) จึงเคลือบได้ทั้งภายนอกและภายใน โครงสร้างกลวง, รอยเชื่อม, มุมแหลม ฯลฯ ได้ทั่วถึง
- มุม แกนขอบ มักทนต่อการกัดกร่อนได้เพราะชั้นสังกะสีเติบโตในแนวตั้งตั้งแต่เหล็กภายในออกมาผิวภายนอก (coating grows perpendicular)
4. มีความแข็งแรงของการยึดติดกับเหล็กสูง
- ชั้นแผ่นโลหะผสมเหล็ก-สังกะสีที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการมี bond (การยึดติด) ทางเมตัลลาร์จิก (เมตัลลิก) ซึ่งแข็งแรงกว่าการเคลือบทั่วไป เช่น การพ่นสี, เคลือบอีพ็อกซี่ ฯลฯ
- เคลือบสามารถทนต่อการกระแทก / การขีดข่วน (abrasion) ได้ดี
5. ต้นทุนรวมตลอดอายุ (Life-Cycle Cost) ต่ำกว่า
- ถึงต้นทุนเริ่มแรกอาจจะสูงกว่าการเคลือบบางประเภท แต่เมื่อรวมค่าใช้จ่ายซ่อมแซม / เปลี่ยน / บำรุงรักษาแล้ว จะประหยัดกว่าในระยะยาวมาก
- เหมาะกับชิ้นงานที่ต้องการใช้งานนานโดยไม่อยากต้องมาทาผิวหรือเปลี่ยนเคลือบบ่อย ๆ
6. สามารถใช้งานในหลายสภาพแวดล้อม
- เหมาะกับอากาศเปียก, ชายฝั่งทะเลที่มีไอเกลือ, ดิน, คอนกรีต, น้ำ ฯลฯ
- โครงสร้างที่โดนสภาพที่รุนแรงได้ดีกว่าเคลือบแบบง่าย ๆ
7. บำรุงรักษาน้อย
- ไม่ต้องซ่อมแซมหรือทาซ้ำบ่อยเมื่อเทียบกับสีหรือเคลือบอื่น ๆ
- การตรวจสอบมักดู “ด้วยตาเปล่า” ได้ ถ้าเคลือบดูไม่เสียหาย ก็ยังทำงานได้ดี
8. สวยงาม / มีลักษณะเฉพาะ
- ผิวที่ได้มีลักษณะสีเทาด้านหรือสีเงิน-เทาแบบธรรมชาติ ซึ่งหลายคนชอบ อาจนำไปสีทับได้ถ้าต้องการเปลี่ยนโทนสีตกแต่ง
- สามารถใช้ร่วมกับระบบทาสีทับ (duplex system) ได้เพื่อเพิ่มความสวยงามและคงทนยิ่งขึ้น
9. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ในแง่ของอายุใช้งานและการรีไซเคิล)
- เหล็กและสังกะสีเป็นวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ และการใช้ชุบแบบ HDG ลดความจำเป็นในการซ่อมแซมถี่ ๆ ซึ่งหมายถึงลดการใช้สารเคมี / สี /วัสดุอุปกรณ์ซ่อมบำรุงลง
- มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาวน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเคลือบที่ต้องบ่อย ๆ
เลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง
เราใช้เฉพาะวัสดุที่ดีที่สุด รวมถึง Zinc Special high grade เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของลูกค้าได้รับการป้องกันการกัดกร่อนและสนิมในระดับสูงสุด ก้อนสังกะสีได้รับการคัดเลือกอย่างดีเพื่อความบริสุทธิ์ ความสม่ำเสมอ และผ่านการทดสอบคุณภาพอย่างเข้มงวดเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามมาตรฐานระดับสูงของเรา ด้วยความมุ่งมั่นของเราในด้านคุณภาพและความใส่ใจในรายละเอียด ลูกค้าสามารถวางใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่ถูกจุ่มเคลือบสังกะสีที่มีคุณภาพและทนทานต่อการใช้งาน
การตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ (เหล็กดำ) ของลูกค้า
เรามีการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ (เหล็กดำ) ของลูกค้า ก่อนนำเข้าสู่กระบวนการชุบสังกะสีอย่างละเอียดทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ (เหล็กดำ) ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อส่งต่อให้ขั้นตอนถัดไป มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ ด้วยช่างเทคนิคมีประสบการณ์และความชำนาญ
การผูกชิ้นงานและการเตรียมพื้นผิวชิ้นงาน
การผูกชิ้นงานขึ้นแขวน และการเตรียมพื้นผิว ถือเป็นกระบวนการที่สำคัญลำดับแรกของการเคลือบชุบสังกะสี หากการ Jigging ไม่เหมาะสมจะทำให้การเคลือบชุบสังกะสีไม่สม่ำเสมอทั่วทั้งพื้นผิว เกิดรอยไหล เกิดการการชุบชิ้นงานที่ไม่ดีทำให้ผลิตภัณฑ์ได้รับการเคลือบชุบที่ไม่เหมาะสม
การเตรียมพื้นผิวที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าการเคลือบสังกะสียึดติดกับพื้นผิวอย่างเหมาะสม จำทำให้การป้องกันการกัดกร่อนอย่างมีประสิทธิภาพ หากการเตรียมพื้นผิวที่ไม่ดีจะทำให้สังกะสีหลอมเหลวทำปฏิกิริยากับพื้นผิวเหล็กที่ไม่สะอาด อาจทำให้การชุบสังกะสีไม่ได้คุณภาพ อาจส่งผลให้การเคลือบสังกะสีหลุดลอกหรือลอกออก ซึ่งอาจส่งผลต่อการป้องกันโดยรวมของโลหะ
การจุ่มเคลือบสังกะสี
ขั้นตอนการเคลือบชุบด้วยสังกะสีแบบจุ่มร้อนเพื่อป้องกันการกัดกร่อนของเหล็ก ผลิตภัณฑ์จะถูกแช่ในบ่อสังกะสี โดยสังกะสีจะทำปฏิกิริยากับผิวพื้นของโลหะเพื่อยึดติดกับพื้นผิวเหล็ก ด้วยอุณหภูมิของบ่อเคลือชุบสังกะสีโดยทั่วไปอยู่ประมาณ 450-460 องศา และหลังจากนั้นจะนำเข้าสู่กระบวนการลดอุณหภูมิต่อไป
การตรวจสอบคุณภาพหลังการชุบสังกะสีแบบจุ่มร้อน
การตรวจสอบด้วยสายตา: ผลิตภัณฑ์ได้รับการตรวจสอบด้วยสายตาเพื่อหาข้อบกพร่องหรือปัญหาใดๆ เช่น แผลชุบไม่ติด หยดน้ำสังกะสี หรือความไม่สมบูรณ์อื่นๆ
การวัดความหนาของผิวเคลือบ: ความหนาของการเคลือบสังกะสีวัดได้หลายตําแหน่งบนผลิตภัณฑ์โดยใช้เครื่องวัดความหนาแม่เหล็ก ความหนาของการเคลือบขั้นตํ่าที่ต้องการจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการใช้งานและมาตรฐานหรือข้อกําหนดที่ลูกค้ากำหนด โดยทั่วไปเราใช้มาตรฐาน ASTM A123/A123M เป็นมาตรฐานในการปฏิบัติงาน
การยึดเกาะ: การทดสอบการยึดเกาะจะดําเนินการกับการเคลือบสังกะสีเพื่อให้แน่ใจว่ายึดติดกับพื้นผิวโลหะ ซึ่งสามารถทําได้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย
Grinding and Touch-up (การเจียรแต่ง)
การเจียรแต่งผิว : ในระหว่างกระบวนการชุบสังกะสีแบบจุ่มร้อน บางส่วนของโลหะอาจมีการสะสมของสังกะสีส่วนเกินหรือความไม่สมบูรณ์อื่นๆ ที่ต้องทําให้เรียบ การเจียรเป็นกระบวนการกําจัดสังกะสีส่วนเกินหรือข้อบกพร่องอื่นๆ บนพื้นผิวของผลิตภัณฑ์ โดยปกติจะทําโดยใช้เครื่องมือไฟฟ้า เช่น เครื่องบดหรือเครื่องขัด
Touch-up : หลังจากกระบวนขัดเจียร พื้นที่ของโลหะเปลือยที่ สามารถทาทับด้วยสี zinc-rich (สีที่มีส่วนผสมของสังกะสีตามมาตรฐานกำหนด) ได้ ซึ่ง กระบวนการ touch-up นี้ ช่วยให้แน่ใจว่าพื้นผิวทั้งหมดของผลิตภัณฑ์ได้รับการปกป้องจากการกัดกร่อนอย่างเพียงพอ
Final inspection and transportation (การตรวจสอบเพื่อการส่งมอบ)
การตรวจสอบขั้นสุดท้ายและการขนส่ง เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ในดําเนินการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเราอย่างครอบคลุมเพื่อให้แน่ใจว่าตรงตามมาตรฐานที่กําหนด และไม่พบข้อบกพร่องหรือความไม่สมบูรณ์ใดๆ เราใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ ทีมงานของเราได้รับการฝึกอบรมเพื่อรับรองปัญหาที่อาจเกิดขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เมื่อการตรวจสอบขั้นสุดท้ายของเราเสร็จสิ้นและผลิตภัณฑ์ของเราได้รับการอนุมัติแล้ว เราพร้อมที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าของเรา กระบวนการจัดส่งของเราได้รับการออกแบบให้มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ โดยมุ่งเน้นที่การสร้างความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของเราจะจัดส่งตรงเวลาและอยู่ในสภาพดีเยี่ยม




